ประวัติความเป็นมาของเครื่องเขิน

ประวัติความเป็นมาของเครื่องเขินกล่าวกันว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากจีน โดยกรรมวิธี การทำเครื่องเขินได้เริ่มในสมัยฉางโจวเมื่อประมาณสี่พันปีมาแล้วโดยพบหลักฐานชิ้น ส่วนและตัวภาชนะเครื่องเขินในหลุมศพของบุคคลสำคัญหลายแห่งต่อมาวัฒนธรรม เครื่องเขินคงได้มีการแพร่หลายไปสู่เกาหลี ญี่ปุ่นจีนตอนใต้ เวียดนาม และเอเชียอาค เนย์แต่ก็มีแนวคิดแยกออกไปที่เชื่อว่าวัฒนธรรมเครื่องเขินน่าจะเกิดขึ้นก่อนในเขต มณฑลยูนานและรัฐฉานเพราะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการผลิตเครื่องเขิน อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ ๆ มีการผลิต และใช้เครื่องเขินอย่างเข้มข้น ต่อมาค่อยแพรหลายเข้า ไปสู่จีนภายหลัง คนจีนรู้จักพัฒนาความรู้และการผลิตตลอดจนเก็บรักษาที่เก่งและดีกว่า ทำให้มีหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องเขินค่อนข้างดีและสมบูรณ์ตราบเท่าปัจจุบันนี้
เครื่องเขินของล้านนา
จากการสำรวจและศึกษาเครื่องเขินล้านนาที่ได้รวบรวมเก็บรักษาไว้ในส่วนของ เอกชนในเขตจังหวัดเชียงใหม่นั้นอาจจะแบ่งกลุ่มเครื่องเขินที่พบในเขตจังหวัด เชียงใหม่ไปตามลักษณะรูปทรงและเทคนิคการประดับตกแต่งได้ 2 กลุ่ม ดังนี้
1.      เครื่องเขินแบบพื้นบ้าน จะมีลักษณะเป็นงานเครื่องสานที่ทาด้วยยางรักเพียงไม่กี่ครั้ง และตกแต่งประดับประดาอย่างง่าย ๆ สำหรับเป็นของใช้ใน ชีวิตประจำวัน เครื่องเขินชนิดนี้ส่วนมากจะเป็นสิ่งของเครื่อง ใช้ที่เป็นเครื่องสานและลงรักสีดำหากจะมีการตกแต่งให้สวย งามอย่างมากก็ทาสีแดงชาดอย่างเรียบ ๆ เครื่องเขินชนิดนี้ เองที่ควรจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่ชาวล้านนาแต่ดั้งเดิม สามารถผลิตขึ้นใช้เองภายในครัวเรือนได้
2.เครื่องเขินเชียงใหม่หรือเครื่องเขินนันทาราม เครื่องเขินชนิดนี้มีโครงสร้างเป็นโครงสานลายขัดด้วยเส้นตอกไม้ไผ่ที่มีการเหลาให้ได้ ขนาดเล็กเรียบบางคล้ายทางมะพร้าวสานขัดกับตอกเส้นบางแบนเป็นรูปแฉกรัศมีจาก ก้นของภาชนะจนได้รูปทรงตามความต้องการ โดยไม่ต้องมีการดามโครงให้แข็งเป็นที่ ที่เครื่องเขินชนิดนี้จะมีโครงที่แน่นแข็งแรงเรียบเสมอกันโดยตลอด เมื่อทารักสมุกแล้ว ขัดก็จะได้รูปภาชนะที่ค่อนข้างเรียบเกลี้ยงบาง และมีความเบาการตกแต่งของเครื่องเขิน ชนิดนี้มีลักษณะเด่นที่นิยมการขูดลาย หรือภาษาพื้นถิ่นว่า “ฮายดอก”
เทคนิคการตกแต่งผิวภาชนะด้วยวิธีการขูดลายนี้ ภาชนะที่จะทำลวดลายได้จะต้อง มีผิวบางรักที่แห้งสนิทและเรียบ การฮายดอกต้องใช้เหล็กปลายแหลมคล้ายเหล็กจาร ใบลานกรีดลงไปบนผิวยางรักของภาชนะการฮายดอกต้อง อาศัยความชำนาญเป็นอย่างมาก โดยที่ไม่ให้เกิดเส้นลึกมาก จนยางรักกระเทาะออก หรือแผ่วเบาเกินไปจนทำให้ลวดลาย มองเห็นได้ยากเมื่อฮายดอกเสร็จแล้วจึงนำยางรักที่ผสมกับ ชาดสีแดงถมลงไปในร่องที่กรีดไว้รอให้แห้งอีกหลายวันแล้ว จึงขัดส่วนนอกสุดออกจนมองเห็นเส้นลวดลายสีแดงฝังอยู่ในพื้นที่สีดำของยางรัก จากนั้นจะเคลือบด้วยยางรักใสหรือรักเงา เพื่อเป็นการปิดเคลือบลวดลายทั้งหมดให้ ติดแน่นกับภาชนะเทคนิคการฮายดอกของเครื่องเขินชนิดนี้เองที่เป็นเอกลักษณ์ของ เครื่องเขินเชียงใหม่มาแต่เดิมซึ่งต่อมาพม่าได้กวาดต้อนเอาช่างเครื่องเขินที่ทำด้วย เทคนิคชนิดนี้ว่า “โยนเถ่” สำหรับเครื่องเขินที่ผลิตขึ้นจากแหล่งบ้านนันทารามใน ปัจจุบันนั้น มีเทคนิคการเขียนลวดลายที่ผิวภาชนะเป็นอย่างเดียวกันแต่เป็นผลิตผล ที่เกิดขึ้นจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อพยพเข้ามาเป็นพลเมืองเชียงใหม่กลุ่มใหม่ ดังนั้นจึง อาจจะเรียกเครื่องเขินชนิดนี้ว่า เครื่องเขินเชียงใหม่รุ่นหลังก็ได้
ปัจจุบันการผลิตเครื่องเขินแบบนันทารามดูเหมือนว่าจะสิ้นสุดลง เหลือเพียงแต่ การผลิตเพื่อการตลาดการท่องเที่ยว เป็นของที่ระลึกราคาถูก ที่ไร้คุณภาพและรสนิยม การฮายดอกทำกันอย่างลวก ๆใช้สีฝุ่นสีน้ำมัน และสีสะท้อนแสงแทนชาดไม่มีการเคลือบ ลวดลายให้ติดแน่นกับผิวภาชนะดังนั้นสีสันจึงมักจะหลุดหายไปอย่างรวดเร็วดูเหมือน ว่าเครื่องเขินใหม่จากเมืองพุกามเท่านั้นที่ยังคงเป็นงานเครื่องเขินแท้ ๆ ถ้าเปรียบเทียบ กับเครื่องเขินที่ผลิตในเมืองไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น