ปุง
ตั้งแต่โบราณมาแทบทุกครัวเรือนของชาวล้านนาจะมีภาชนะประเภทนี้ไว้ใช้ในเรือน อย่างน้อย 2 ถึง 3 ใบปุงมีโครงเป็นเครื่องสานคล้ายกล่องข้าวเหนียวมีก้นสี่เหลี่ยมส่วน ใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 นิ้ว สูงประมาณ 18 นิ้วคอคอดทรงกระบอกฝาปิด คล้าย ๆ ขวดโหลแก้ว ฐานของปุงทำด้วยไม้จริงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูงประมาณ2 – 3 นิ้ว คาดรัดติดกับปุงด้วยเส้นหวายถักยึดกับคอของภาชนะตัวของปุงมีลักษณะอ้วนป่องทา ด้วยยางรักหนาพอสมควรจึงมีลักษณะแข็งแรงรองรับการกระทบกระทั่งได้ดีการตกแต่ง ส่วนใหญ่เป็นการเขียนลวดลายด้วยชาดเป็นลายพันธุ์พฤกษาแบบพื้นเมืองไม่นิยมมีรูป สัตว์ลวดลายตกแต่งจะเน้นด้านข้างสี่ด้านของภาชนะ เปิดเป็นลายช่องกระจก ไม่ปรากฎ ว่ามีการปิดทองคำเปลว หรืองานประดับกระจกปกติจะมีรูสำหรับร้อยเชือกจากฐานไม่โยง ผ่านหูปลอกหวายที่คอของภาชนะสำหรับหิ้วหรือหาบดั้งเดิมมีหน้าที่ใช้สอยสำหรับเก็บ เมล็ดพันธุ์พืชและของใช้ส่วนตัวมิได้ใช้รับแขกหรือเป็นหน้าตาของเจ้าของบ้านไม่ปรากฏ ว่ามี ปุงที่ตกแต่งด้วยเทคนิคการฮายดอก ส่วนใหญ่เจ้าของบ้านทำขึ้นใช้เอง หรือไหว้วาน เพื่อนบ้านคนคุ้นเคยทำให้ มิได้ทำสำหรับการซื้อขาย ดังนั้นขีดความสามารถ ทักษะอารมณ์ และความเฉพาะตัวทางศิลปะจึงดูเหมือนว่ามีความชัดเจนมากลวดลายประดับปุงอาจ กล่าวได้ว่าเป็นตัวอย่างงานศิลปะพื้นบ้านแท้ ๆ ของล้านนาปราศจากกรอบและแบบแผน ของสกุลช่างที่เป็นกฎเกณฑ์บังคับ
ขันหมาก
การกินหมากเคี้ยวหมากเป็นวัฒนธรรมของคนเอเชียโดยทั่วไป ภาชนะของประกอบ การกินหมากภาษาไทยกลางเรียกว่า เชี่ยนหมาก ชาวล้านนาเรียกว่า ขันหมาก ลักษณะ ของขันหมากพื้นเมืองของชาวล้านขนาดเฉลี่ยมีขนาดค่อนข้างใหญ่และหรูหรากว่าภาชนะ ที่เกี่ยวข้องกับการกินหมากในภูมิภาคอื่นขันหมากล้านนามีโครงเป็นไม้ไผ่สานและขดเป็น ทรงกระบอกกลมหรือหักเหลี่ยมโค้งกว้างประมาณ15 นิ้ว สูง 12 – 20 นิ้วเป็นกล่องขนาด ใหญ่สำหรับใส่ใบพลูชั้นล่างและมีถาดเป็นฝาปิดข้างบนเพื่อรองรับตลับหมากขนาดเล็ก ใช้ใส่เครื่องเคี้ยวอื่น ๆ รวมทั้งมีดผ่าหมากและเต้าปูน ขันหมากส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยการ เขียนลวดลายสีชาด และรักพิมพ์ บางครั้งมีการเติมด้วยทองคำเปลวเพิ่มความสวยงาม หรูหรามากขึ้น การติดเบี้ยที่ตีนขันหมากแสดงออกถึงความร่ำรวยและมีกินมีใช้ของเจ้า ของบ้านแล้วยังเป็นหน้าเป็นตาและความภูมิใจของเจ้าของเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน การต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยือนในอดีตเจ้าของเรือนจะนำเอาขันหมากใบสวยงามออกมา ต้อนรับแขกที่มาถึงบนเรือนเป็นการแสดงถึงไมตรีและการให้เกียรติอีกทั้งเป็นการแสดง ออกถึงรสนิยมที่ดีและความมั่งมีของเจ้าของเรือน แต่เดิมชุดตลับเล็ก ๆ บนถาดฝา ขันหมากเป็นไม้กลึงสวยงามบางครั้งก็เป็นตลับขดด้วยตอกไม้ไผ่ทารักเช่นเดียวกับตัว ขันหมากในสมัยหลัง ๆ นิยมใช้ตลับเงินตีดุนเป็นลวดลายแทนไม้กลึงทำให้ดูหรูหราภูมิฐาน มากขึ้น
การผลิตขันหมากพื้นเมืองแต่ละพื้นที่จะมีผู้ชำนาญการ หรือผู้ผลิตในเชิงธุระกิจ นับตั้งแต่ การขึ้นโครงสาน การทารักทาชาดและเขียนลวดลายประดับประดา รูปแบบ ของงานจะปรากฎออกมาเป็นกลุ่มสกุลช่างประจำถิ่น พบอยู่กันเป็นละแวกกว้าง ๆ แต่รัศมีไม่ไกลจากแหล่ง ผลิตเท่าใดนักลูกค้าหรือผู้ซื้อจะมาสั่งทำเป็นราย ๆ มิได้มีการผลิตแล้วนำไปเร่ขายทั่ว ๆ ไป ดังนั้นความ หรูหราวิจิตร จะขึ้นอยู่กับผู้สั่งทำขันหมาก ประกอบกับ ขีดความสามารถและทักษะของช่างผู้ผลิตบางครั้งพบ ว่าช่างเครื่อเขินพื้นเมืองประเภทนี้เป็น ภิกษุ สามเณรที่ชำนาญทางด้านศิลปะและงานช่าง ทั่วไปและทำงานเครื่องเขินเป็นงานอดิเรก เช่น อดีตเจ้าอาวาสวัดต้นแหนน้อย เชื้อสาย ไทเขิน ที่บ้านทุ่งเสี้ยว อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
อย่างไรก็ตามรูปแบบขันหมากพื้นเมืองนี้ค่อนข้างจะมีโครงสร้างและการตกแต่ง คล้าย ๆ กัน คือมีโครงสานด้วยตอกแบน ดามด้วยตอกเส้นหนา ขดเป็นวงกลมเสริม ให้แข็งแรงเป็นปล้อง ๆ ตีนขันหมากจะผายออกเล็กน้อย ถาดฝาบนตัวขันหมากมีขอบ สูงป้องกันตลับกลิ้งตกจากขันหมากช่วงตัวตอนกลางจะมีลวดลายประดับเป็นลวดลาย หลักใช้รักสีดำและชาดสีแดงตัดกันเป็นองค์ประกอบทางศิลปะลักษณะรูปทรงเช่นนี้ จะพบทั้วไปอย่างหนาแน่นในเขตเชียงใหม่ ลำพูน ลำปางแพร่ น่าน และประปรายใน พื้นที่ใกล้เคียง
ขันหมากแบบวัวลายมีลักษณะต่างจากขันหมากพื้นเมืองมากพอที่จะเห็นข้อแตกต่าง อย่างชัดเจน เช่น โครงสานทำด้วยตอกเส้นกลมเล็กสานลายขัดกับตอกเส้นแบนที่จัดเป็น รัศมีจากลางของก้นขันหมากออกไป เมื่อสานได้เป็นวงกลมขนาด 12 นิ้ว ก็จะหักขึ้นและ สานต่อเป็นทรงกระบอกเตี้ยๆ สูงประมาณ 6 – 8 นิ้ว ไม่นิยมรัดขอบเป็นปล้อง ดังนั้น จึงมีรูปทรงเป็นกระบอกเกลี้ยงถมด้วยสมุกและขัดให้เรียบหลาย ๆ ครั้งก่อนที่จะตกแต่ง ด้วยการฮายดอกด้านนอกของรูปทรงกระบอกภายในทาสีแดงชาดเรียบ รวมทั้งถาดปิด และก้นขันหมากลวดลายขูดจะมีโครงลายที่ค่อนข้างแน่นอนแต่มองเห็นไม่ค่อยชัดเจน เพราะลวดลายมีพื้นผิวและสีสันที่ทำให้แลดูเสมอกันทั่วทั้งภาชนะ คือเป็นสีแดงคล้ำ ๆ ตัดกับสีแดงของชาดและก้นภาชนะ ลวดลายที่นิยมกันแต่อดีตเป็นลักษณะดอกไม้ที่ก้าน ต่อที่เรียกว่าดอกก๋ากอก และดอกสารภี บางครั้งเป็นลักษณะเป็นก้านเกสรดอกไม้ หรือ ดอกบัวเล็ก ๆ เต็มเป็นพื้นคลุมทั้งภาชนะการผลิตที่ทำกันอย่างพิธีพิถันเพราะเป็นงาน ผีมือที่ละเอียดอาศัยช่างผู้ชำนาญที่ทำกันเป็นกลุ่ม มีการผลิตตลอดปีโดยที่ไม่ต้องรอการสั่งของลูกค้า บางทีมีการทำเก็บเอาไว้มาก ๆ เมื่อได้จำนวนตาม ต้องการก็เดินทางไปจำหน่ายในตลาดต่างบ้านต่าง เมือง ในสมัยโบราณมีการหาบคอนเป็นคาราวาน เพื่อนำขันหมากเครื่องเขินนันทารามไปขายตามเมืองสำคัญในล้านนาและพื้นที่ใกล้เคียง ขันหมากแบบนันทารามเป็นที่นิยมของผู้อยู่ในเมืองมากกว่าชนบทอีกทั้งยังมีราคาสูง สำหรับชาวบ้านธรรมดาเมื่อเทียบกับเครื่องเขินพื้นเมือง ดังนั้นขันหมากแบบนันทาราม ส่วนใหญ่จึงปรากฎพบในเขตเมืองสำคัญของล้านนาในพื้นที่ที่กว้างและไกลชุดขันหมาก นันทารามบางทีขายพร้อมกับตลับชุดที่มีลวดลายแบบเดียวกัน หรือเป็นตลับเงินซึ่งก็ ผลิตจากแหล่งเดียวกับตัวขันหมาก
ขันหมากนันทารามนี้โดยหลักการแล้วถือว่าเป็นการผลิตงานหัถตอุตสาหกรรม ตามเทคนิคของช่างไทเขินในรัฐฉาน แต่รูปแบบของภาชนะได้ปรับให้คล้อยตามกับ หน้าที่ใช้สอยใหม่ที่นิยมกันในเขตล้านนา ทั้งคุณภาพและรูปแบบนับว่าประณีตและ วิจิตรเป็นที่ยอมรับในระดับสากลว่าเป็นงานที่ดีมีคุณค่าทางศิลปะอีกทั้งเป็นตัวแทน
ขันดอกและขันโตก
พานใส่ดอกไม้และเครื่องเซ่นไหว้ของชาวล้านนาเรียกว่าขันดอกมีลักษณะคล้าย จานที่มีฐานยกสูงขึ้นไป เข้าใจว่าคงได้รูปแบบหรืออิทธิพลมาจากจานเชิงของจีนซึ่ง เป็นเครื่องปั้นดินเผาแต่ว่าขันจะมีส่วนจานและฐานเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงายอย่างชัดเจน หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่าฐานปัทม์ส่วนใหญ่ขันดอกแบบโบราณจะทำมาจากไม้สักกลึง สองหรือสามตอนมาสวมต่อกันเป็นรูปพานทาด้วยยางรักและตกแต่งด้วยการเขียน ลวดลายสีดำสีแดงเป็นกลีบบัวสอดไส้ขนาดทั่ว ๆ ไปของขันดอกสูงประมาณ 12 นิ้ว และเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 นิ้ว ใช้สำหรับใส่ข้าตอกดอกไม้ธูปเทียนไปวัดหรือ ในพิธีกรรม บางทีก็ใช้ใส่เครืองเซ่นไหว้และของที่มอบให้เป็นทางการในพิธีสำคัญ
ขันดอกไม้กลึง เป็นขันดอกประเภทหนึ่งที่ชาวล้านนาได้รับอิทธิพลและรูปแบบ จากขันดอกของชาวไทเขินเรียกว่า “ขันซี่” หรือ “ขันตีนถี่” ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่เด่นมาก กล่าวคือช่วงที่เชื่อมระหว่างตัวพานไม้กลึงกับฐานไม้กลึงแทน ที่จะเป็นไม้กลึงทรงบัวลูกแก้ว ก็จะเป็นซี่ไม้กลึงขนาดเล็ก ๆ เรียงชิดกันเป็นแถวรอบฐานทรงกลมคล้ายขันโตกขันซี่ทั่วไป จะทาสีแดงชาดเท่านั้นไม่นิยมมีลวดลายประดับเหมือนขันดอก แบบพื้นเมือง ขันซี่บางชุดมีการกลึงลวดบัวที่มีสัดส่วนสวยงาม แปลกตา บางชุดก็มีความกล้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 18 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ใช้สำหรับเป็นขันตั้งหรือภาชนะในพิธีสำคัญทางศาสนา ซี่ไม้ที่เป็นขามีการเหลาเป็น ปล้อง ๆ สวยงามเมื่อเรียงเป็นแถวจะมีลักษณะคล้ายลูกกรงระเบียงบ้าน
ขันโตกเป็นภาชนะที่มีโครงสร้างและวัสดุเช่นเดียวกับขันดอก แต่ว่ามีขนาดการ ตกแต่งและประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างกันออกไปปกติขันโตกจะเป็นไม้กลึงขนาดเส้น ผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 -20 นิ้วมีขาเป็นไม้กลึงเรียกว่า ลูกติ่ง (ลูกกรง) 6 หรือ 8 ขา เชื่อมระหว่างตัวโตกและฐาน ขันโตกทีชาวบ้านใช้กันทั่วไปเป็นโตกไม้ธรรมดา หรือทา ยางรักสีดำสำหรับเป็นภาชนะรองถ้วยใส่อาหาร ขันโตกสำหรับชนชั้นสูงและพระสงฆ์ ส่วนมากนิยมทาชาดสีแดงมีขนาดใหญ่กว่าขันโตกของชาวบ้านบางครั้งมี ฝาชีครอบทำ ด้วยเครื่องสานหรือไม้จริงเรียกว่า อูบข้าว (ตะลุ่ม) ขันโตกทาชาดสีแดง บางครั้งก็ใช้ใน พิธีกรรม เช่น การจัดขันตั้ง (ขันไหว้ครู) ขันขวัญ (บายศรี) และขันใส่เครื่องไทยทาน ถวายพระเป็นต้น
ขันดอกของเชียงใหม่ที่นิยมกันมาแต่อดีตมีโครงเป็นไม้ไผ่ขดเป็นโครงสร้างเกือบ ทั้งใบตั้งแต่ฐานจนถึงขอบของพานจะเป็นส่วนที่เป็นการสานลายขัดก็เฉพาะก้นของ ตัวถาดเพียงเล็กน้อย ส่วนมากทาสีแดงชาดเช่นเดียวกับขันซี่ยกเว้นกลุ่มที่ผลิตขึ้นไป เขตบ้านวัวลาย บ้านนันทารามซึ่งนิยมทำขันดอกมีลวดลาย การฮายดอกเป็นกลีบบัว และลวดลายแปลก ๆ แลดูละเอียดประณีตมีรสนิยมสวยทั้งรูป ทรงและลวดลายตกแต่ง ปรากฎแพร่หลายในตัวเมืองสำคัญ ต่าง ๆ ในล้านนา ขันดอกแบบวัวลายบางชุดมีการตกแต่งด้าน นอกเป็นลายปิดทองรดน้ำ แบบพานแว่นฟ้าของไทยภาคกลาง ซึ่งน่าจะปรากฎขึ้นในยุคหลังใช้สำหรับตั้งเครื่องพิธี เพราะว่า ลายทองไม่เหมาะสำหรับหน้าที่ใช้สอยของตัวภาชนะทองคำเปลวจะหลุดเมื่อมีการสัม ผัสถูไถบ่อย ๆ ถึงแม้ขันดอกจะมีรูปทรงคล้ายขันโตก แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่ใช้สำหรับ ใส่อาหารรับประทานจะใช้เฉพาะของแห้งและเครื่องไหว้เท่านั้น
ภาชนะเครื่องรักที่มีรูปทรงที่พัฒนามาจากกระบุงไม้ไผ่สานสำหรับใส่ของหลาย ประเภทในพิธีกรรมและการไปทำบุญเรียกว่าขันโอ รูปทรงของขันโอเหมือนกระบุง ขนาดเล็กป้อม ๆ เตี้ย ๆ ทาด้วยยางรักเรียบ ด้านนอกสีดำด้านในสีแดง มีหูเล็ก ๆ สี่หู สำหรับร้อยเชือกหาบปากขันโอมีถาดวางปิดไว้ก้นขันโอมีการเสริมปุ่มสี่ปุ่มด้วยการปั้น ยางรักให้หนารองรับการถูไถได้ดีบางทีก็ใช้หอยเบี้ยเสริมความแข็งแรงของปุ่มรองก้น ขันโอจะนิยมผลิตเป็นคู่เสมอ เรียกว่าเป็นหาบไม้คานหาบส่วนใหญ่จะเป็นไม้คานเรียว เล็กดัดปลายทั้งสองให้งอนขึ้น หรือแกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม ขันโอที่เป็นใบเดี่ยว ไม่มีคู่จะมีขนาดเล็กกว่า เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 ถึง 12 นิ้วประดับด้วยลวดลาย การเขียนสีหรือปิดทอง ไม่มีหูร้อยเชือก เพราะใช้อุ้มเหมือนขันเงินหรือสลุงเงิน น่าจะ เป็นอิทธิพลจาก “ก๊อกโอ” หรือ”ซ้าข้อง” ของชาวไทเขินจากเชียงตุง
ขันโอที่ผลิตขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งละแวกบ้านวัวลาย จะมี โครงสร้างเป็นลายขัดตอกคล้าย ๆ ขันหมากวัวลาย คือมีทรงกลมผสมกับทรงกระบอก มิได้มีก้นและตัวแบบกระบุง รูปทรงเหมือนขันน้ำทั่ว ๆ ไป ขันโอบ้านวัวลายจะมีขนาดใหญ่เกือบเท่ากระบุงทายางรักสี แดงทั้งนอกและใน ไม่มีหูร้อยเชือก แต่ใช้สาแหรกหวายรอง รับสำหรับการหาบ ขันโอวัวลายบางชุดมีการตกแต่งด้วยการ ฮายดอกด้านนอกของภาชนะ แต่ลวดลายค่อนข้างใหญ่ตาม ขนาดภาชนะคือใหญ่กว่าลวดลายของขันดอกไม้และขันหมาก
ขันโอบ้านวัวลายได้พัฒนาไปสู่รูปแบบของขันน้ำพาน รองและขันน้ำสาครตามความต้องการของตลาดในยุคสมัย รัชกาลที่ 6 เพื่อส่งไปยังภาคกลางพร้อมกับของใช้ของที่ระลึกอื่น ๆ ในยุคนั้นขันโอวัวลาย น่าจะให้อิทธิพลต่อการตีขันเงินและสลุงเงินแบบต่าง ๆ ของเชียงใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สลุงเงินดอกที่นิยมผลิตเป็นคู่ ๆ แบบเดียวกับขันโอเครื่องเขิน
หีบผ้าใหม่
ในอดีตเมื่อผู้ชายชาวล้านนาจะเข้าพิธีแต่งงานและย้ายไปอยู่กับฝ่ายภรรยาสิ่งที่ ต้องนำติดตัวไปก็คือ ดาบประจำตัวและหีบผ้าใหม่สำหรับใส่เสื้อผ้าในการย้ายบ้านเพื่อ เป็นการแสดงความมีหน้ามีตาและรสนิยมของวงศ์ตระกูล พ่อแม่และญาติของฝ่ายชาย จะสรรหาหีบผ้าใหม่สำหรับงานแต่งงานที่หรูหราและวิจิตรเลอค่าตามยุคตามสมัยในอดีต หีบผ้าเครื่องเขินทรงแปดเหลี่ยมยาวสำหรับใส่ผ้าพับขนาดกว้างประมาณ 10 นิ้ว ยาว 18 นิ้ว สูงประมาณ 15 นิ้วเป็นที่นิยมกันมากเทคนิคการสานไม้ไผ่คาดด้วยตอกยางรักสีดำ สีแดงในลักษณะต่าง ๆ เป็นแบบมาตราฐานของหีบผ้าใหม่ผู้มีฐานะดีจะว่าจ้างช่างให้ตก แต่งเขียนลวดลายพันธุ์พฤกษาด้วยชาดและแต้มทองคำเปลวอย่างสวยงามฝาด้านบนของ หีบผ้าจะอูมนูนเน้นความรู้สึกเกี่ยวกับความมั่งครั่งมีอุดมสมบูรณ์ เชิงของหีบผ้าจะบาน ผายออกคล้ายกับขันหมากพื้นเมือง ไม่ปรากฎว่ามีการตกแต่งหีบผ้าใหม่ด้วยการฮายดอก หรือ ติดกระจกแก้วอังวะ หีบผ้าใหม่จะเป็นจุดสนใจในพิธีแต่งงาน แต่จะถูกเก็บไว้ใน ห้องนอนอย่างมิดชิดเป็นสมบัติของลูกหลานต่อไปหลังจากเสร็จพิธี
ในช่วง 80 ปีมานี้ ความนิยมใช้หีบผ้าเครื่องเขินได้ ลดน้อยลง ส่วนใหญ่หันมาใช้หีบไม้สักมีขาแบบกำปั่น จีนต่อมานิยมกำหั่นเหล็กแบบฝรั่งแทน ปัจจุบันนี้ใช้ กระเป๋าเดินทางหรือไม่ก็เป็นตู้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น